บทความชนะเลิศการแข่งขันบทความสร้างเสริมจิตสำนึก
ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน 2013-4
ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน 2013-4
ชื่อผู้แต่ง ไม่เปิดเผย
“มนุษย์เกิดมาเสรี
แต่ทุกๆที่เขาตกอยู่ในพันธนาการ มีบางคนที่เชื่อว่าพวกเขาเป็นนายเหนือผู้อื่น
แต่เขาก็เป็นทาสไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่น”
นี่คือประโยคแรกในหนังสือ
“สัญญาสังคม” (The Social Contract)
หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อว่า“สัญญาประชาคม” ของ
ฌ็อง ฌ๊าก รุสโซ
นักปรัชญาที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการปฏิวัติฝรั่งเศสอย่างที่ปรากฏเป็นคำขวัญว่า “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ”
ที่สั่นสะเทือนทั้งโลก
นี่คือโจทก์ที่รุสโซกระตุ้นให้คิดทบทวนเกี่ยวกับปัญหาว่าด้วยสถานะของมนุษย์ในสังคมการเมืองที่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนแห่งการกดขี่
รุสโซเชื่อว่ามนุษย์ในสภาวะธรรมชาติมีอิสระมีเสรีภาพโดยสมบูรณ์โดยไม่อยู่ใต้ผู้อื่น
เป็นผลให้ทุกคนเสมอภาคกันเพราะมีสถานะอย่างเดียวกัน
หรือมนุษย์มีเสรีภาพและความเสมอภาคกันตามธรรมชาตินั่นเอง
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งสภาพการณ์บังคับให้ต้องยกเลิกความเป็นอยู่ตามธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด
จึงเป็นที่มาของการเกิดสังคมขึ้น
เมื่อมนุษย์มาอยู่ในสังคมกลับตกเป็นทาสของสิ่งที่ตัวเองคิดค้นพัฒนาขึ้น
ตกเป็นทาสของมนุษย์ด้วยกัน บางคนมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น มีเกียรติยศ อำนาจ
มีการกดขี่บังคับ ขูดรีดเอารัดเอาเปรียบ
ความเจริญก้าวหน้ากลับยิ่งทำให้มนุษย์อ่อนแอลง
ตกอยู่ในพันธนาการจนไม่อาจมีเสรีภาพและความเสมอภาคที่เคยมีตามธรรมชาติได้
อย่างที่รุสโซเริ่มต้นประโยคแรกในหนังสือข้างต้น
เมื่อความเลวร้ายอัตคัตขัดสนทั้งปวงล้วนเกิดจากมนุษย์ในสังคมด้วยกัน
ทางแก้ปัญหาของรุสโซ คือ การสร้างสัญญาประชาคม/สัญญาสังคม
ซึ่งก็คือการสร้างระเบียบสังคมการเมืองใหม่ให้สมาชิกประชาคม/สังคม คือ
ประชาชนมีฐานะเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดเพื่อทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากภาวะอันไม่พึงประสงค์
ได้เสรีภาพและความเสมอภาคอันเป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ตลอดจนความยุติธรรม
ผลประโยชน์ทั้งปวงและสันติสุขกลับคืน
หลักการอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนที่รุสโซเสนอได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตยที่อารยะประเทศใช้ในปัจจุบันหรือที่รู้จักกันในนามเสรีประชาธิปไตย(Liberal
Democracy)
การสร้างสัญญาประชาคม/สัญญาสังคม
คือ รูปแบบหนึ่งของการสร้างสังคมอุดมคติที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
เพียงแต่ในสมัยของรุสโซ คำว่า สิทธิมนุษยชน(Human Rights) ยังไม่ถูกนำมาใช้ คำว่า
Human Rights เริ่มใช้ครั้งแรกโดยโทมัส เพน ในงานแปล(จากภาษาฝรั่งเศสมาเป็นภาษาอังกฤษ)คำประกาศว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และพลเมือง
ค.ศ. 1789 ซึ่งเป็นผลผลิตของการปฏิวัติฝรั่งเศส
แต่คำนี้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ. 1947
ของสหประชาชาติ โดยการเสนอของเอเลียนอร์ รูสเวลท์ ภรรยาของประธานาธิบดีแฟรงคลิน
รูสเวลท์
เป็นที่น่าสังเกตว่าปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของความเป็นมนุษย์ที่สหประชาชาติพยายามผลักดันให้ประเทศสมาชิกนำไปเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นน่าจะได้รับอิทธิพลทางความคิดของรุสโซด้วย
ดังที่ปรากฏในประโยคแรกของปฏิญญาสากล ข้อ 1 ว่า “มนุษย์ทุกคนเกิดมาเสรีและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ
พวกเขาถูกสร้างให้มีเหตุผลและมโนธรรมสำนึกและควรปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นพี่น้อง”
ไม่เพียงแต่ปฏิญญาสากลเท่านั้น
แต่ยังมีหลักสิทธิมนุษยชนอีกมากมายที่สหประชาชาติได้ประกาศใช้
บางฉบับมีสถานะเช่นเดียวกับปฏิญญาสากลคือไม่มีสภาพบังคับแต่เป็นแค่แนวทางให้ประเทศสมาชิกนำไปปฏิบัติ
บางฉบับมีฐานะเป็นกฎหมายที่ผูกพันประเทศภาคีสมาชิก ฉบับที่สำคัญ เช่น กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
ทั้งสองฉบับรวมกันครอบคลุมสาระสำคัญของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแทบทั้งหมดและมีส่วนที่ขยายเพิ่มเติมปฏิญญาสากลอีกด้วย
สำหรับประเทศไทยได้รับเอาหลักสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติทั้ง 3 ฉบับ
มาใช้ ซึ่งมีผลผูกพันให้ต้องแก้ไขกฎหมายภายในให้สอดคล้อง โดยเฉพาะ 2 ฉบับหลัง
ซึ่งนับว่าน่ายินดี
แต่ในทางปฏิบัติประเทศไทยยังมีความล้าหลังห่างไกลจากที่สหประชาชาติกำหนดมากพอสมควร
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีประสบการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเพื่อสร้างสัมคมอาระก่อนหน้าที่จะมีปฏิญญาสากลนานพอสมควรแต่ยังไม่บรรลุผล
สังคมไทยในอุดมคติ จาก ฝันของชาวสยาม ถึง
ฝันของประชาชนเสื้อแดง
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติต่างแสวงหาสังคมอุดมคติของตัวเอง
บ้างปรากฏในรูปของการต่อสู้โดยสันติ บ้างลงเอยด้วยการปฏิวัตินองเลือด
ซึ่งมีตัวอย่างมากมาย อาทิ
การที่ทาสทำสงครามปลดแอกตนเองจากจักรวรรดิโรมันเมื่อกว่า 2 พันปีก่อน
การปฏิวัติอังกฤษ 2 ครั้งในศตวรรษที่ 17 ครั้งแรกลงเอยด้วยการประหารกษัตริย์
ครั้งหลังลงเอยด้วยอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์สิ้นสุดลงถาวร
การปฏิวัติอเมริกาครั้งแรกปลดแอกอเมริกาเป็นเอกราช
ครั้งหลังปลดปล่อยทาสผิวดำเป็นอิสระ
การปฏิวัติฝรั่งเศสที่สุดท้ายต้องยกเลิกกษัตริย์ไปอย่างถาวร การปฏิวัติลุกฮือของประชาชนทำให้ประเทศคอมมิวนิสต์ยุโรปตะวันออกทุกประเทศเป็นประชาธิปไตยตราบทุกวันนี้
การลุกฮือของประชาชนในโลกอาหรับที่ถูกเรียกว่าอาหรับสปริงทำให้หลายประเทศได้ก้าวสู่ถนนประชาธิปไตย
ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีการต่อสู้อีกนับครั้งไม่ถ้วนที่ไม่ถูกกล่าวถึง ไม่ถูกบันทึก
ของคนเล็กๆ
ทุกๆการต่อสู้กับความอยุติธรรมล้วนแล้วแต่เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดีว่ามนุษย์ไม่เคยหยุดแสวงหาชีวิตที่ดี
สังคมการเมืองที่ดี และเป็นบทพิสูจน์ว่าธาตุแท้ของพวกเขาเหล่านั้นคือการเป็น “เสรีชน”
ที่ไม่ยอมก้มหัวยอมแพ้ให้กับการกดขี่ข่มเหง
ตลอดจนความอยุติธรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ
สำหรับประเทศไทยมีความพยายามสร้างสังคมการเมืองในอุดมคติที่เคารพสิทธิมนุษยชนและอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนมากว่าร้อยปี
ถึงวันนี้แม้ยังไม่บรรลุผลสำเร็จได้ประชาธิปไตยสมบูรณ์แต่ก้าวมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับได้
ตราบใดที่ยังเชื่อมั่นในความก้าวหน้า ความฝันจะมีสังคมไทยอารยะที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนต้องเป็นจริงในท้ายที่สุด
ความฝันสู่ประชาธิปไตยครั้งแรกของสยาม
เกิดขึ้นเมื่อ ร.ศ. 103(พ.ศ. 2428)
เมื่อคณะเจ้านายและขุนนางนำโดยพระองค์เจ้าปฤษฎางค์และคณะ
ทำหนังสือกราบบังคมทูลต่อรัชกาลที่ 5 ขอพระราชทานระบอบการปกครองที่มีระบบรัฐสภา
กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่รัชกาลที่ 5
ทรงเห็นว่าระบอบการปกครองที่ดีที่สุดคือระบอบที่กษัตริย์มีอำนาจสูงสุด
พระองค์ตอบสนองด้วยการสร้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ผ่านการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง
สุดท้ายพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ต้องลี้ภัยไปอยู่ลังกาจนกระทั่งรัชกาลที่ 5
สวรรคตจึงเสด็จกลับสยาม
ความฝันของคณะ ร.ศ. 130
เป็นความพยายามของคณะนายทหารหนุ่มแห่งกองทัพสยาม
ซึ่งตระเตรียมใช้กำลังก่อการปฏิวัติล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
หากทำสำเร็จก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่สถาบันกษัตริย์จะถูกยกเลิกเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ
แต่พวกเขาถูกจับได้เสียก่อนเมื่อ ร.ศ. 130(พ.ศ. 2455) คณะนายทหารเหล่านั้นจึงต้องโทษติดคุกเป็นเวลาหลายปี
บางคนตายในคุก
แต่การเตรียมก่อการครั้งนั้นไม่ได้สูญเปล่าและกลายเป็นบทเรียนให้การก่อการปฏิวัติของคณะราษฎรในอีก
20 ปี ต่อมาสำเร็จลงได้
ความฝันของคณะราษฎร :
ก้าวที่หนึ่งของระบอบประชาธิปไตย สู่ ประชาธิปไตยสมบูรณ์
ระบอบประชาธิปไตยของไทยเริ่มต้นนับก้าวที่หนึ่งเมื่อคณะราษฎรซึ่งประกอบด้วย ทหารบก
ทหารเรือ ข้าราชการ พลเรือน ทำการปฏิวัติเมื่อ 24 มิถุนา 2475
ล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
สยามจึงเริ่มนับหนึ่งเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยตามอย่างอารยะประเทศ
คณะราษฎรแสดงเจตจำนงค์แน่วแน่ผ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1
ว่ามีเป้าหมายสร้างสังคมอุดมคติที่มีความสุขเความเจริญอย่างประเสริฐ เรียกว่า“ศรีอาริยะ”
แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องสร้างระบอบการปกครองที่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงมีอำนาจโดยแท้จริงเสียก่อน
รวมทั้งวางหลักการเพื่อบรรลุเป้าหมายไว้เบื้องต้น 6 ประการ คือ รักษาเอกราช
รักษาความปลอดภัยของประเทศ บำรุงความสุขสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ สิทธิเสมอภาค เสรีภาพ
และการศึกษาอย่างทั่วถึง
สิ่งที่ตามมาหลังจากยึดอำนาจจากกษัตริย์ได้แล้วคือ
การประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด
กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ มีสภาผู้แทนราษฎร มีรัฐบาลบริหารประเทศ ฯลฯ
ตลอดจนมีการปฏิรูปทั่วทุกด้านทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
และวัฒนธรรมตามมามากมายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนตลอด 15 ปี ที่คณะราษฎรมีอำนาจ
และสิ่งที่คณะราษฎรพยายามทำส่วนใหญ่เดินอยู่บนหนทางของประชาธิปไตยแบบสากลและสิทธิมนุษยชนที่อารยะประเทศยอมรับเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยสมบูรณ์
ความฝันของฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติ :
สังคมอุดมคติที่ไม่มีประชาชน
ระบอบประชาธิปไตยเพื่อไปสู่สังคมศรีอาริยะของคณะราษฎรเดินทางได้แค่ 15 ปี ก็ต้องจบลง
ขบวนการปฏิปักษ์ประชาธิปไตยที่มีลักษณะอนุรักษ์นิยมซึ่งสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์จากการปฏิวัติ
2475 สามารถกลับมาทวงคืนอำนาจได้อีกครั้ง
และสร้างระบอบใหม่ในอุดมคติของพวกเขาที่กลุ่มอำนาจเก่าขึ้นมาแทนที่
ประชาชนเจ้าของอำนาจตัวจริงถูกเบียดขับไปอยู่ชายขอบ
จะเข้าไปเกี่ยวข้องได้เพียงรูปแบบเปลือกนอกเท่านั้น
หากประชาชนเรียกร้องต้องการมากกว่านั้นก็ต้องประสบชะตากรรมอันเลวร้ายจากการทำลายล้างทุกรูปแบบทั้งใช้อำนาจบังคับ
ปราบปราม มอมเมาทางอุดมการณ์ ฯลฯ ขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติของฝ่ายอนุรักษ์นิยมทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของไทยล่าช้าออกไปอย่างน้อย
60 ปี
ความฝันครั้งใหม่ของประชาชน กับ
ภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น
จะว่าไปการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนไทยไม่เคยสูญสิ้น
จะมีมากน้อยอ่อนแอหรือเข้มแข็งแล้วแต่เงื่อนไขแต่ละยุคสมัย
บางครั้งเข้มแข็งจนสามารถได้ชัยชนะครั้งใหญ่ เช่น ขบวนการ 14 ตุลา 16,
ขบวนการพฤษภา 35 เป็นต้น เพียงแต่ฝ่ายประชาธิปไตยยังไม่สามารถทำลายล้างฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยให้สิ้นซาก
เพราะเมื่อฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยกลุ่มหนึ่งอ่อนแอลงไปก็จะมีกลุ่มใหม่ขึ้นมาแทนที่เสมอ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอด 60 ปีมานี้
ฝ่ายประชาธิปไตยแทบไม่สามารถเข้าถึงใจกลางของปัญหาที่แท้จริงได้เลย อย่างไรก็ตาม
แม้ชัยชนะของประชาชนแต่ละครั้งไม่ใช่ชัยชนะขั้นเด็ดขาด
แต่ก็ทำให้เกิดความก้าวหน้าตามมาเสมอ ตัวอย่างที่สำคัญคือ หลังปี 2535 เป็นต้นมา
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยถูกยกระดับไปสู่ความต้องการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเข้มข้นขึ้น
รวมทั้งยกระดับไปสู่การเรียกร้องในทางเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง
การจัดสรรทรัพยากรมากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ซึ่งแสดงออกชัดเจนที่สุดในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยเพราะไม่เพียงแต่มีการเรียกร้องที่เข้มข้นขึ้นเท่านั้น
แต่ความสามารถของรัฐบาลจากการเลือกตั้งในการตอบสองความต้องการของประชาชนมีมากขึ้นด้วย
จนมีคำเรียกกันว่า “ประชาธิปไตยที่กินได้”
แสดงให้เห็นว่าแม้ยังไม่ได้ประชาธิปไตยสมบูรณ์แต่ก็มีความก้าวหน้าเกิดขึ้น
ประสิทธิภาพของรัฐบาลจากการเลือกตั้งในการตอบสนองทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยชี้ขาดความอยู่รอดของรัฐบาลมากขึ้นทุกที
สะท้อนว่า ในอนาคตข้างหน้าประชาธิปไตยอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสนองความต้องการของประชาชน
แต่ต้องได้รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากพอจะตอบสนองประโยชน์สุขแก่คนทั้งประเทศด้วย
แน่นอนว่า
หากระบอบประชาธิปไตยมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากพอย่อมส่งผลให้ตัวมันเองลงหลักปักฐานได้รวดเร็วและยั่งยืน
การต่อสู้อันยาวนานมีแพ้บ้าง
ชนะบ้าง ก้าวหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ครึ่งๆ กลางๆ ขาดๆ เกินๆ
เหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ไม่ผิด
แต่ก็ไม่อาจดับความฝันของคนไทยที่ต้องการประชาธิปไตยและสร้างสังคมอายะให้ยุติลงได้
การสืบทอดความฝันประชาธิปไตยสมบูรณ์ในปัจจุบัน
: ประชาชนตื่นแล้วและจะไม่มีวันหลับใหลอีก นับแต่ปี 2548 จนถึงรัฐประหาร
2549 ฉีกรัฐธรรมนูญ ล้มรัฐบาลและรัฐสภาจากการเลือกตั้ง ตุลาการภิวัฒน์
ยุบพรรคตัดสิทธิ์ ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ล้อมปราบสังหารหมู่ปี 2552-53 ฯลฯ
จนถึงปัจจุบัน ใครเลยจะคิดว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้
ต้องนับว่าไกลที่สุดนับตั้งแต่คณะราษฎรหมดอำนาจก็ว่าได้
เพราะว่าสามารถรุกล้ำเข้าไปใจกลางของปัญหาที่แท้จริงได้พอสมควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ก้าวหน้าที่สุดคือการต่อสู้ในปัจจุบันขยายตัวไปสู่ประชาชนทุกหมู่เหล่ากว้างขวางอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนยิ่งกว่าสมัยใด
และยังคงมีพัฒนาการไปได้เรื่อยๆทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
แม้ว่าต้องแลกด้วยเลือดเนื้อชีวิตและอิสรภาพของประชาชนนับร้อยนับพัน
ปรากฏการณ์ดังกล่าวบางทีถูกเรียกขานว่า “ตาสว่าง”
ซึ่งไม่เพียงประชาชนจะรู้ที่มาที่ไปต้นเหตุของปัญหา
ไม่เพียงรู้ว่าใครสั่งฆ่าประชาชน ไม่เพียงรู้ว่าปัญหาในอดีตอันยาวนานกว่า 60 ปี
มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครบ้างคือตัวปัญหา
หากแต่ประชาชนก้าวไปไกลถึงขั้นตรวจสอบความคิดของตนเองอย่างเข้มข้น
ตั้งคำถามกับทุกสิ่งในชีวิตประจำวันไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคลหรือสถาบันการเมืองทุกสถาบันทั้งกองทัพ ตุลาการ องคมนตรี
รัฐบาล ส.ส. ส.ว. นายกรัฐมนตรี สมาชิกพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง นักเคลื่อนไหว
สื่อมวลชน นายทุน พระ นักแสดง ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่สถาบันกษัตริย์ก็ถูกตั้งคำถาม ถูกตรวจสอบ
พูดง่ายๆว่าแทบไม่มีใครรอดพ้นจากการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ไปได้
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนพร้อมใจกันเรียกร้องประชาธิปไตยสมบูรณ์หรือประชาธิปไตยแบบสากลที่อารยะประเทศยึดถือ
แม้ประชาชนส่วนมากไม่ได้ระบุตรงๆว่า คือ ระบอบเสรีประชาธิปไตย แต่พวกเขาต่อสู้เรียกร้องตลอดเวลาว่าต้องการประชาธิปไตยสมบูรณ์
ต้องการประชาธิปไตยแบบสากล รวมถึงเรียกร้องการเคารพสิทธิมนุษยชน
เมื่อเจาะลงในรายละเอียดรูปธรรมจะพบว่า
สิ่งที่ประชาชนเรียกร้องล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของประชาธิปไตยแบบสากลหรือเสรีประชาธิปไตยแทบทั้งสิ้น
และสิ่งเหล่านั้นล้วนสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ อาทิ
ประชาชนเรียกร้องอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนทุกคน รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย
เคารพเสียงข้างมาก ความเสมอภาค หลักนิติธรรม เคารพสิทธิและเสรีภาพ
รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพตอบสนองต่อประชาชน เรียกร้องการตรวจสอบถ่วงดุลของอำนาจอธิปไตยทั้งสามอย่างแท้จริง
ตุลาการต้องยึดโยงกับประชาชน วุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง ไม่เลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน พิจารณาคดีเป็นธรรม
ไม่ยุบพรรคตัดสิทธิ์ ไม่ใช้อำนาจนอกระบบแทรกแซง กองทัพต้องอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลพลเรือน
หรือแม้กระทั่งเรียกร้องยกเลิกองคมนตรี
การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์และกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ตลอดจนต่อสู้เรียกร้องให้เปลี่ยนแนวคิดที่ล้าหลังเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย
ฯลฯ
โดยสรุปแล้วการต่อสู้ของประชาชนในปัจจุบันเป็นการต่อสู้เพื่อค้นหารูปแบบการปกครองที่เปิดกว้างมากพอสำหรับคนทุกคนซึ่งในที่นี้คือ
ระบอบเสรีประชาธิปไตย
เพราะเป็นรูปแบบการปกครองที่จะทำให้สังคมอารยะที่เคารพสิทธิมนุษยชนมีความเป็นไปได้
เพราะมีที่ว่างมากพอสำหรับให้ทุกคนใส่รายละเอียดของตัวเองลงไป
เพียงแต่ต้องยอมรับหลักการพื้นฐานที่เป็นแก่นแกนของระบอบนี้เป็นเบื้องต้นเสียก่อน
และรายละเอียดที่แต่ละคนแต่งเติมลงไปต้องไม่ขัดหลักการพื้นฐานที่เป็นแก่นแกนเหล่านั้น
ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกามีพรรคอนุรักษ์นิยมอย่างรีพับลิกันสามารถเป็นรัฐบาลปกครองประเทศได้
ฝรั่งเศสมีพรรคคอมมิวนิสต์ได้
หลายประเทศมีพรรคแนวสังคมประชาธิปไตยที่สนับสนุนให้มีรัฐสวัสดิการ
ประเทศประชาธิปไตยแท้จริงยอมรับสิทธิของคนหลากหลายเพศ
ไม่ยอมรับการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ฯลฯ
และประการสำคัญทุกคนก็จะมีส่วนร่วมในฐานะเป็นผู้สร้างและเป็นเจ้าของสังคมอารยะร่วมกันในท้ายที่สุด
แม้ระยะเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ประชาธิปไตย
จะกินเวลายาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษ
แต่โลกปัจจุบันก้าวหน้าไปไกลถึงขั้นที่ทำให้ระบอบการปกครองที่มุ่งควบคุม กดขี่
บังคับ ให้คนอยู่ในกรอบ ไม่สามารถทำได้เบ็ดเสร็จอีกต่อไป
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในยุคปัจจุบันจะไม่มีวันถูกทำลายได้โดยง่าย
ประการสำคัญคือประชาชนต้องเดินหน้าต่อไปในหนทางของประชาธิปไตยสานต่อสิ่งที่คณะราษฎรได้ปูทางไว้ตั้งแต่ปี 2475
และมีหลายสิ่งที่ต้องทำให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์และก้าวหน้ายิ่งกว่าคณะราษฎรเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยสมบูรณ์อย่างแท้จริง
บทสรุป
การสร้างสังคมไทยอารยะที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนให้สำเร็จ
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างเงื่อนไขพื้นฐานด้วยการสร้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยเสียก่อน
แต่การจะไปถึงรูปแบบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยเพื่อนำไปสู่สังคมอารยะที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนได้จะต้องปฏิรูปอย่างถึงรากทั่วทุกด้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยและมีอำนาจได้เท่าที่ไม่ขัดหลักการประชาธิปไตย
ยกเลิกองคมนตรี อำนาจตุลาการต้องยึดโยงกับประชาชน ส.ว. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
รัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งมีอำนาจควบคุมกองทัพ ปฏิรูปทางความคิด
ยกเลิกระบบวิธีคิดที่ล้าหลัง ไม่เสมอภาค ศักดินา ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม
ให้เป็นธรรมมากขึ้นให้ประชาชนมีโอกาสมากขึ้น ฯลฯ
การปฏิรูปแบบถึงรากทั่วทุกด้านดังกล่าวข้างต้นเรียกอีกอย่างว่า “การสร้างสัญญาประชาคมใหม่” ที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
และการทำได้ถึงขั้นที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือ “การปฏิวัติสังคม” นั่นเอง
แต่การเปลี่ยนผ่านจากสังคมเผด็จการศักดินาอำมาตยาธิปไตยไปสู่สังคมอารยะโดยการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินดังกล่าว
แม้ในทางทฤษฎีจะสามารถทำได้โดยสันติ
แต่ในทางปฏิบัติจะพบว่าส่วนใหญ่จากประสบการณ์ของมนุษยชาติและของไทยเองในอดีต
ผู้กุมอำนาจจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงโดยง่าย
ผลจึงลงเอยด้วยการนองเลือดหรือสงครามกลางเมืองเสมอ
มนุษยชาติทุกผู้ทุกนามต่างมีความฝันถึงสังคมในอุดมคติหรือสังคมอารยะของตัวเองจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
ถ้าเป็นนักคิดนักปรัชญาก็มักจะตั้งคำถามเป็นเบื้องต้นว่า ชีวิตที่ดีคืออะไร
สังคมที่ดีคืออะไร แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปก็คงจะถามทำนองว่าอยากมีชีวิตอย่างไร
ประกอบอาชีพอะไร อยากมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างไรมากน้อยแค่ไหน
อยากมีการศึกษาถึงขั้นไหน อยากมีรายได้เท่าไหร่ อยากมีครอบครัวมีลูกกี่คน ฯลฯ
สำหรับผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปัจจุบันได้คำตอบแล้วว่าพวกเขาจะสร้างสังคมอารยะกันอย่างไร
คำตอบคือก่อนอื่นต้องได้ระบอบการเมืองการปกครองที่เปิดกว้างมากพอที่จะสร้างสังคมอารยะเสียก่อน
ระบอบที่ว่านั้นคือ เสรีประชาธิปไตย
ถ้าการปฏิวัติคือหนทางเดียวที่จะได้ระบอบประชาธิปไตยเพื่อนำไปสู่การสร้างสังคมอารยะให้เป็นจริงได้
การนองเลือดที่เคยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อาจจำเป็นต้องเกิดขึ้นอีกจนกว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์และสังคมอารยะที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนจะเป็นจริง###
No comments:
Post a Comment